
หลัง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำกลุ่ม กปปส. สลัดจีวรกลับคืนสู่ร่าง "ลุงกำนัน"
ประกาศเคลื่อนไหวในนามประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชน เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย
มีแกนนำ กปปส. ตบเท้าเข้ามาเป็นทั้งรองประธาน และกรรมการมูลนิธิ มี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นเลขานุการ มี น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
วันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา นายสุเทพจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ อย่างเป็นทางการ ชี้ให้เห็นวัตถุประสงค์การก่อตั้ง ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 ข้อ ตามที่สื่อรายงานข่าวไว้อย่างละเอียด
หลักๆ คือบทบาทในการสนับสนุนการวิจัย สัมมนาหรือการประชุมรวบรวมความรู้ความคิดเห็นในรูปแบบต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ การเมือง เศรษฐกิจและสังคม
ในการแถลงข่าวมีบางช่วงบางตอนคาบเกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่โค้งสุดท้าย
นายสุเทพไม่ได้กล่าวลงลึกในรายละเอียดของตัวร่าง ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับมาตราไหนอย่างไร เพียงตอบอย่างกว้างๆ แต่ก็เผยให้เห็นถึง "จุดยืน" ชัดเจน
ผ่านประโยคที่ว่า ทุกอย่างต้องสืบทอดเจตนารมณ์มวลมหาประชาชนที่ต้องการให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.
ปฏิรูปประเทศให้สำเร็จก่อนเลือกตั้ง โดยไม่จำกัดเวลาว่าเมื่อไหร่
การประกาศจุดยืนดังกล่าว ไม่แน่ว่าเป็นผลดีกับพรรคประชาธิปัตย์ที่นายสุเทพ เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ สอดคล้องกับจุดยืนของสมาชิกแม่น้ำ 5 สายบางกลุ่มในสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือสปช.
ที่เคยจุดพลุเปิดประเด็นปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ต่ออายุโรดแม็ป คสช. 2 ปีไว้แล้วเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนกระแสจะเบาลง เนื่องจากขาดพลังมวลชนสนับสนุน
แทนที่จะได้ดอกไม้เลยได้ก้อนอิฐไปแทน
กระนั้นก็ตามแนวคิดดังกล่าวของสมาชิก สปช.สายนกหวีด ไม่ได้เป็นหมันไปเสียทีเดียว
ตรงกันข้ามในเวลาต่อมา คสช.ได้ดำเนินการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 หลายประเด็นสำคัญ
มีการวิเคราะห์ถึงไฮไลต์ในการแก้ไขว่า นอกจาก คสช.ต้องการ "ปลดล็อก" ให้นักการเมืองอดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109 เข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองได้
เพื่อรองรับการปรับครม. และจัดตั้ง "สภาขับเคลื่อนการปฏิรูป" ขึ้นมาแทน สปช.ในอนาคต
ยังอยู่ที่การเปิดช่องให้มีการออกเสียงทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามที่หลายฝ่ายเรียกร้อง
แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นว่า คสช.โดนกระแสตีกลับ ถูกหาว่ามีแผนจงใจที่จะยืดเวลาการอยู่ในอำนาจต่อไปเสียเอง
เนื่องจากมีการวางเงื่อนไขไว้ 2-3 ขยัก
ขยักแรก สปช.ต้องโหวตเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ เสียก่อนถึงจะมีการทำประชามติ ขยักที่สอง หากประชามติผ่านก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งในราวปลายปี 2559
แต่ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านไม่ว่าจะชั้นของสปช. หรือในชั้นการออกเสียงประชามติ ก็นำไปสู่ขยักที่สาม คือทุกอย่างต้องกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่หมด
โดยไม่มีการระบุชัดเจนว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่
ตรงจุดนี้เองที่นักวิเคราะห์การเมืองมองว่าอาจเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่
ซึ่งจะเป็นการปะทะกันโดยตรงระหว่าง คสช. กับกลุ่มผู้สนับสนุนประชาธิปไตยที่มีจุดยืนต้องการให้มีการเลือกตั้ง นำพาการเมืองกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว
มีความเป็นไปได้ว่า อันที่จริงแล้ว คสช.ไม่ได้ต้องการทำตัวเป็นเงื่อนไข ผลักดันประเทศกลับสู่เส้นทางความขัดแย้งเสียเอง
เหมือนอย่างในเหตุการณ์นองเลือดเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.2553
จึงมีความจำเป็นว่าหากสถานการณ์เดินไปถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อดังกล่าว คสช.อาจต้องมีมวลชนผู้สนับสนุนขึ้นมาเพื่อเป็นเสมือน "กันชน" ให้ตัวเอง
ทุกสายตาจึงจับจ้องไปยังบทบาทของกลุ่ม กปปส. และนายสุเทพ หลังการลาสิกขาว่าจะอาสามาทำหน้าที่นี้ให้กับพล.อ.ประยุทธ์ และคสช.หรือไม่ อย่างไร
ในฐานะแม่น้ำสายที่ 6
ความจริงท่าทีของนายสุเทพ มีความชัดเจนมาตั้งแต่แรก
อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อตอนที่ยังห่มจีวรเป็นพระสุเทพ ในเชิงสนับสนุนเห็นด้วยหากพล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ในอำนาจเป็นนายกฯ อีกนาน 3-5 ปี เพื่อปฏิรูปให้เสร็จสิ้นก่อนเลือกตั้ง
ในเบื้องต้นที่หลายคนตั้งข้อสังเกตก็คือ การสึกจากพระกลับสู่บทบาทลุงกำนัน เป็นความเคลื่อนไหวใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงร่างรัฐธรรมเข้าสู่ช่วงลุ้นระทึก
ผ่านหรือไม่ผ่านด่านสปช.
ถ้าไม่ผ่านก็จบ กลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โดยไม่กำหนดเวลาสิ้นสุด
ถ้าผ่านก็ไปสู่กระบวนการทำประชามติ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อถึงตรงนั้น มวลชน กปปส.อาจไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ หากพบว่าการปฏิรูปไม่เป็นไปตามแนวทางที่นายสุเทพ และแกนนำ กปปส. ขีดกรอบไว้
แต่ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาล คสช.ต้องตระหนักคือความจริงที่ว่า ปัญหาต่างๆ จากภายนอกที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ไม่ว่ากรณีเทียร์ 3 ไอยูยู หรือไอเคโอ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต่างชาติไม่ยอมรับระบบการเมืองของไทยอย่างที่เป็นอยู่ และต้องการบีบให้ไทยกลับสู่เส้นทางประชาธิปไตยโดยเร็ว ตามโรดแม็ปที่วางไว้
การพยายามสร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมาเพื่อต่อวีซ่าอำนาจออกไป
นอกจากต่างชาติไม่ยอมรับ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าขาย และการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ในทางการเมืองภายในประเทศ ยังอาจมีปัญหากับมวลชนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยที่มีจุดยืนพื้นฐานตรงข้ามกับคสช. และกลุ่มกปปส.อีกต่างหาก
ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงอดทนต่อการยั่วยุ สงบนิ่งอยู่ในที่ตั้ง ไม่ออกมาเคลื่อน ไหว ก็เพื่อรอการเลือกตั้ง และการสิ้นสุดโรดแม็ป อันเป็นจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตย
ความพยายามถ่วงรั้งกระบวนการดังกล่าว โดยอาศัยมวลชนที่เห็นต่างกัน 2 กลุ่มใหญ่เป็นเครื่องมือห้ำหั่นทางการเมือง
เป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือมาด้วยวิธีพิเศษ
ต้องไม่สนับสนุนให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
ที่มา :http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1438356108



0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น