แม่บัว จุดเปลี่ยนชีวิต สายไหม มณีรัตน์


เพิ่งจะโชว์หน้าสวยๆ กับบทร้ายในละคร "ข้าบดินทร์" ที่เพิ่งจบไป ซึ่งในช่วงแรกๆ ที่ละครออนแอร์หลายคนอาจจะมองว่าบทของเธออาจจะเป็นแค่ไม้ประดับ แต่เมื่อละครเดินเรื่องไป "แม่บัว" ที่รับบทโดย "สายไหม มณีรัตน์ ศรีจรูญ" นักแสดงใหม่แกะกล่องที่ตีบทแตกกับความร้ายได้ใจจนแฟนละครเกลียดทั่วบ้านทั่วเมือง จนกลายเป็นกระแส "ความดัง" และความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เธอขึ้นแท่นเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่น่าจับตามอง สัปดาห์นี้ทีมข่าว Sanook! New จึงอดไม่ได้ที่จะขอเช็คอุณหภูมิความฮอตและความแรงของ "ดาวดวงใหม่" ดวงนี้ว่าเธอพร้อมแค่ไหนกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตหลังจากสัมผัสความดัง พร้อมกับล้วงลึกชีวิตกว่าจะมาถึงจุดนี้เธอต้องผ่านอะไรมาบ้างต้องติดตาม
"ก็โดนเปลี่ยนชื่อไปโดยปริยายเลยค่ะ จากชื่อไหมก็กลายเป็นชื่อบัว ตอนนี้มีคนเรียกบัวเยอะกว่าไหมอีก ดีใจนะคะโดยส่วนตัวแล้วไหมรู้สึกว่ามันเกินความคาดหมายไปเยอะมาก แต่ด้วยเนื้อเรื่องเองตอนแรก

ที่ไหมอ่านไหมก็ชอบเรื่องข้าบดินทร์อยู่แล้ว ไหมไม่คิดว่าคนจะให้ความสำคัญกับตัวละครแม่บัวมากขนาดนี้ เพราะจริงๆ แม่บัวไม่ใช่ตัวหลักไม่ใช่พระนางอะไรแบบนี้ค่ะ อย่างที่บอกมีคนเรียกบัวๆ ล่าสุดเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นนอนอยู่บนเครื่อง แล้วก็พี่แอร์โฮสเตสมาเสิร์ฟข้าว แล้วเขาก็ทักแม่บัว และเวลาตอนนั้นนั่งเครื่องบินตอนกลางคืนเราก็ค่อนข้างโทรมนิดนึง แต่งหน้าก็ไม่ได้แต่งแล้วพี่เขาก็แบบขอถ่ายรูปด้วย ก็เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นดีค่ะเพราะชีวิตเราไม่เคยเจอขอถ่ายรูปแบบนี้ และพอเวลาจะนอนอีกทีก็จะเขินเลย เพราะปกติเป็นคนนอนน้ำลายไหล (หัวเราะ) ก็เกร็งๆ เขาจะเห็นมั้ยเนี่ย ต้องแค่สายตาคนรอบข้างขึ้นนิดนึงแต่ก็เป็นไปในแง่ของความสนุกไม่ได้อึดอัดอะไร

ไหมแฮปปี้กับมันค่ะ และไหมก็คิดว่าไหมจะพยายามทำให้มันมีคุณค่าเพราะว่ากว่าไหมจะมาถึงตรงนี้ไหมคนเดียวไม่มีทางเลย เรียกว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะมาถึงจุดนี้คนเดียวได้แต่ละคนเหนื่อยมากับไหม ทุ่มเทมากันก็เยอะเพราะฉะนั้นเมื่อมันมาถึงตรงนี้แล้วไหมก็อยากจะเก็บงานตรงนี้ให้มันมีคุณค่าที่สุดและนานที่สุด คือตอนแรกสุดเลยเอาตรงๆ เลยเคยคิดว่าถ้าไม่โอเคกับตรงนี้จะไปเรียนต่อและไหมไม่เคยเสียใจถ้าไม่รุ่งสุดเพราะมันก็คือประสบการณ์ อย่างเข้ามาในวงการแล้วไหมได้รู้จักใครมากมายมันเป็นอะไรที่ให้ประโยชน์กับชีวิตเราได้ไม่มากก็น้อยอยู่แล้วค่ะ"

"ใช่ค่ะ คืออาม่าของไหมจะเป็นคนค่อนข้างอินกับละครค่อนข้างมากรวมถึงมาม๊าด้วย ตอนแรกๆ ชอบมากๆ ที่กุ๊กกิ๊กกับพ่อเหม โอ้ยๆ น่ารักอะไรแบบนี้ค่ะ แต่สักพักนึงเริ่มร้ายขึ้นเขาก็เริ่มจะมีคำถามทำไมลูกเป็นแบบนี้และพยายามถามไปเอานิสัยแบบนี้ในการแสดงมาจากไหน เริ่มไม่มั่นใจในตัวลูกตัวหลานของตัวเองตกลงไหมเป็นคนแบบนี้หรือเปล่า(หัวเราะ) มาม๊าก็จะบอกว่าวันหลังก็อย่ารับบทแรงแบบนี้ได้มั้ย คืออยากให้เลี่ยงไม่ถึงกับห้ามเพราะเวลาเขาไปเจอเพื่อนจะเปรียบเทียบตอนเล่นหัวใจปฐพี เพื่อนๆ แม่ก็จะชมน่ารักกุ๊กกิ๊กกับพี่ไมค์เนอะ แต่พอมาเรื่องนี้มันจะเป็นอีกกระแสนึงทำไมถึงร้ายขนาดนี้ ทำไมไปทำเขาได้ มาม๊าก็จะแบบเอ๊ะนี้มันไม่ได้ชมนี่

แต่พอผ่านไปซักพักนึงแล้วเขาเห็นว่าเวลาไปไหนก็มีคนเข้ามาขอถ่ายรูปหรือมีคนมาชมว่าเล่นดี เขาก็โอเคเริ่มเข้าใจ ว่าที่เขาด่าๆ แม่บัวนะไม่ใช่เรา ส่วนอาม่าไม่ได้ห้ามค่ะแต่เรียกพบ เขาก็ไม่สบายใจไม่ได้ถึงขั้นโกรธแต่เขากลัวคนไม่เข้าใจในตัวหลานเขา เขาก็เป็นห่วงเป็นใยมากๆ และก็จะไม่ค่อยเข้าใจเพราะอาม่าเขาจะไม่เห็นกระแสต่างๆ ในข่าวมากนัก ก็จะได้ยินแต่คนข้างบ้านพูดถึง อาม่านะหลานอาม่าร้ายมากเลยนะ เขาก็เลยคิดว่าทุกคนจะคิดแบบนั้นก็เลยเรียกเข้าพบ ไหมก็อธิบายให้เขาลองดูอ่านหนังสือพิมพ์แม้จะพาดหัวข่าวมันจะดูแรงแต่ว่าเวลาอ่านตรงเนื้อหาส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในแนวทางชื่นชม"
"ความเป็นไทยค่ะ ที่บ้านจะปลูกฝั่งเรื่องนี้มากจะออกไปไหนทำอะไรต้องรู้จักการไหว้และไหว้ที่พื้นนั่งที่พื้นเลยเรียกว่าวัฒนธรรมไทยแท้ๆ ที่เขาปลูกฝั่ง คือที่บ้านค่อนข้างให้ความสำคัญกับผู้ใหญ่มากไม่ว่าจะเป็นฝั่งอาม่าหรือมาม๊า อาม่าถึงจะเป็นจีน แต่ก็อย่างตรุษจีนต้องไปหาต้องไปไหว้อาม่าต้องให้ส้มอะไรแบบนี้ ซึ่งไหมก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเพราะไหมโตขึ้นมาแบบนี้ไหมเป็นคนเล็กสุดพี่ทุกคนก็ทำแบบนี้มาให้ไหมเห็นมันก็เลยซึมซับไปในตัว แต่ว่าเวลาเราออกมาข้างนอกก็จะมีความเป็นตัวเองมีความชอบในแบบตัวเองต่อให้เขาเคร่งครัดในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีแต่ว่าในเรื่องของอิสระทางความคิดก็ให้มากเหมือนกัน"

ได้ดีเพราะ "เด็กกิจกรรม"

"ไหมใช่ชีวิตในมหาลัยคุ้มมาก ตอนปี1 เป็นเชียร์ลีดเดอร์คณะซึ่งก็คือต้องซ้อมเต้นซึ่งไม่รู้ว่าจะให้ซ้อมกี่รอบต่อกี่รอบ (หัวเราะ) เต้นก็เต้นได้แล้วซ้อมมากว่าสามเดือน เรียกว่าเด็กกิจกรรมก็ได้ เข้าคณะทุกวันไม่เว้นวันเสาร์อาทิตย์เพราะว่าไหมชอบทำกิจกรรมมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยติดนิสัยมาเรื่อยๆ พออยู่โรงเรียนประจำพอเวลาตอนกลางคืนเขาก็ไม่ได้ให้นั่งๆ นอนๆ ก็จะมีแบบซ้อมละครเพลงได้ทำนั่นนี่มันและไหมค่อยข้างเป็นคนเปิดใจมากไหมจะค่อนข้างเข้ากับสังคมใหม่ๆ ได้เร็ว พอถัดมาปี 2 เป็นดรัมเมเยอร์ของมหาลัยแล้วไม่ใช่ของคณะก็เริ่มใหญ่ขึ้น และพอปี3 จากการที่เป็นดรัมเมอร์เยอร์ก็ได้รู้จักพี่ๆ ในสโมสรนิสิตก็ได้เข้าไปช่วยเป็นสโมสรนิสิตจุฬา พอมาปี 4 จะจบแล้วก็เริ่มมีผลงานละครซึ่งไหมก็ตั้งใจจะเรียนจบให้ได้ภายในสี่ปีเพราะเป็นข้อบังคับของมาม๊าถ้าไหมเข้าวงการนี้มันมีข้อแลกเปลี่ยน ไหมทำตามความฝันตัวเองได้ ไหมก็ต้องห้ามทิ้งความฝันของป๊ะป๋ามาม๊าเช่นกัน

ไหมเพิ่งเรียนจบคณะนิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยภาคภาษาอังกฤษ สาขาที่จบมาคือด้านการบริหารจัดการสื่อ จบมาได้เกรดนิยมอันดับสองค่ะ 3.45 แต่จริงๆ อยากได้อันดับหนึ่งมันเป็นความผิดพลาดที่แปลกมากเลยปีหนึ่งปีสองไหมได้เกรดไม่ค่อยดี แต่ตอนปีสามปีสี่ที่งานยุ่งๆ เริ่มเข้าเล่นละครได้เกรดเฉลี่ยสูงมาก และปีสุดท้ายที่งานเยอะมากๆ ได้ สามจุดเจ็ดกว่าคือสูงมาก แต่ก็พอใจมากแล้วค่ะ เพราะทุกคนเหนื่อยกับเกรดนิยม อันนี้ของไหมมากไม่ว่าจะเป็นพี่ๆ ที่กองถ่ายคือบางทีไหมต้องตื่นไปกองตีห้าถ่ายเสร็จแปดโมงไปเรียนเก้าโมงถึงเที่ยงกับมาถ่ายบ่ายโมงถึงหกโมงเย็น ซึ่งคนที่เหนื่อยมากๆ หนึ่งเลยผู้จัดการต้องแบบไปรับไปส่งแล้วบางทีมันไม่ได้ถ่ายในกรุงเทพ แต่ละเรื่องอย่างที่เห็นในข้าบดินทร์มันถ่ายในกรุงเทพไม่ได้อยู่แล้วและอย่างหัวใจปฐพีก็จะในป่ามันต้องใช้ความอึดมากๆ ผู้จัดการก็ต้องตื่นก่อนเราเพื่อมารับเราหรือมาส่งไหมเที่ยงคืนกว่าเขาจะได้นอนตีหนึ่งตีสองมันโหดมากเหนื่อยมาก"
จากใจดาวดวงใหม่ถึงแฟนละคร

"ด้วยความที่ไหมยังใหม่ด้วย และไหมก็ยังตื่นเต้นทุกครั้งที่มีคนเข้ามาชมหรือมีคนเข้ามาขอถ่ายรูปซึ่งไหมมองว่ามันเป็นกำลังใจที่สำคัญมากๆ ของไหมเพราะว่า เอาจริงๆ มันยากมั้ยมันยากนะ แต่ละบทที่ไหมได้รับค่อนข้างที่จะยากเลย สำหรับนักแสดงใหม่เพราะฉะนั้นมันมีตลอดท้อบ้างไม่เข้าใจตัวละคร งอแงกับตัวเอง บางทีมันเหนื่อย แต่ทุกครั้งที่มีคนเข้ามาหาเข้ามาชมมาติมันชื่นใจ และเพิ่งเข้าใจเวลาพี่ๆ ในวงการเข้าพูดว่าแบบหายเหนื่อยนะคือมันเป็นจริง และถ้าเกิดเป็นแฟนคลับหรือคนที่ดูละครไหมมองว่ามันมีคุณค่ามกกว่าเพื่อนสนิทชมเพราะว่าอย่างคนในบ้านชมก็จะเป็นการชมเหมืนให้กำลังใจเพราะเขาเห็นมาตลอดว่าไหมเหนื่อย แต่เวลาเป็นคนนอกเขาไม่ได้มาเห็นว่าไหมต้องเหนื่อยขนาดไหน และเวลาเขาชมไหมว่ามันเป็นคำชมที่มาจากใจจริงๆ และมันก็เป็นกำลังใจในการทำงานอยู่ในวงการนี้ต่อค่ะ"

ขอบคุณภาพโดย : SINSAMOOT




ที่มา  :http://news.sanook.com/1836923/













0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น